สวัสดีครับวันนี้เพื่อนกินจะพาไป dinnerแนวอาหารฝรั่งเศสแบบหรูหราบ้าง บางครั้งเวลาจะเลือกร้านอาหารร้านอาหารที่ตั้งอยู่บนโรงแรมเพื่อไป Fine Dining  แล้วยังอยากได้บรรยากาศโรแมนติกอีก ก็ยิ่งทำให้กังวลกับกระเป๋าสตางค์ของเรายิ่งขึ้น แต่วันนี้เพื่อนกินจะพาไปรีวิว Tasting Menu ที่ร้าน La VIE แล้วที่ VIE Hotel แล้วต้องยอมรับลองเลยว่าราคาไม่แรงอย่างที่คิดไว้เลยครับ

La VIE – Creative French Cuisine เป็นร้านอาหารฝรั่งเศสที่ใด้รับรางวัลจาก Michelin Guide Bangkok 2018 ในส่วนของ ‘Michelin Plate’ ซึ่งเป็นที่ยอมรับว่าเป็นร้านอาหารที่เสิร์ฟอาหารชั้นดี ตั้งอยู่ที่ชั้น 11 ของโรงแรมหรู 5 ดาว VIE Hotel Bangkok MGallery by Sofitel  การเดินทางไม่ยากครับเพราะโรงแรมติดติดสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสราชเทวี 

โดยในวันนี้เราจะมาลิ้มลอง Dinner Tasting Menu ของที่นี่ ซึ่งเซ็ทคอร์สอาหารที่พัฒนาโดย Sous Chef Yuya ที่นำเสนอประสพการณ์ความเป็นตัวตนของร้านผ่านอาหารทั้งหมด 5 จาน ที่สร้างสรรค์อาหารฝรั่งเศสโดยมีกลิ่นอายความเป็นญี่ปุ่นผสมผสานอย่างลงตัวจนเป็นเอกลักษณ์ของร้าน La VieVIE Hotel Bangkok MGallery by Sofitelซึ่งหากยังเคลิบเคลิ้มกับอาหารจานหลักทั้ง 5 จานแล้วยังไม่พอ เพื่อนๆสามารถลงลึกไปดื่มด่ำต่อก็ยังสามารถสั่งอาหาร A La Carte เพิ่มเติมได้ด้วยซึ่งเดี๋ยวในฉบับหน้าเราจะ Review: A La Carte เมนู ของที่นี่ต่อ

แต่วันนี้ถ้าพร้อมแล้วไปชิมกันเลยครับ


A Tasty Welcome

Sea-bream Tatare

ก่อนที่จะเริ่ม Tasting Menu นั้นก็มีธรรมเนียมน่ารักๆ เวลาเราไปทาน Fine dining ก็ต้องเริ่มจากการเสิร์ฟ amuse bouche ต้อนรับเรา เป็น Sea-bream Tatare ซึ่งดึงรสเนื้อปลาด้วยขิงและหอมแดง แล้วชูกลิ่นของน้ำมันมะกรูดขึ้นมา เพื่อกระตุ้นความหิวกับแขกทุกท่าน และระหว่างที่รอ ก็ยังมีขนมปังอีกสามชนิด เสิร์ฟพร้อมกับเครื่องเคียงอีกสามอย่าง โดยวันนี้ La VIE ได้นำเสริฟ ซอฟต์โรลล์ ที่มีส่วนผสมของครีม นม และไข่ ทำให้ขนมปังนวลนุ่มฟูเหมือนผ้าไหม นำมาพร้อมกับ ขนมปังธัญพืชที่แข็งกว่าเล็กน้อย แต่มีความหอมจากธัญพืชต่างๆ หรือหากใครที่ชอบขนมปังที่แข็งขึ้นมาหน่อย ก็จะเป็น Mini Baguette ที่ขนาดพอดีมือ สามารถเลือกทานผสมผสานไปมาระหว่าง เนยทรัฟเฟิลที่ขนาดผมไม่ชอบทานยังต้องตักอีกหลายที หรือทานกับ Tomato Chutney ที่หวานหอมมะเขือเทศตลบเต็มปาก และที่เด็ดไม่แพ้กัน (และเป็นเครื่องจิ้มโปรดของผม) ก็คือ Anchovie และ Black olive ที่แพ็ครสชาติทั้งเปรี้ยวเค็มหวานได้สมดุลและเรียกน้ำย่อยได้ดีจริงๆ


Starter, Cold & Hot

ปลาหางเหลืองจากเมืองคาโกชิม่าเสิร์ฟพร้อมแบล็กควินัว ซอสฮอลแลนเดซและน้ำมันเลมอน

ที่นั่งริมหน้าต่างที่มองวิวออกไปเห็นผู้คนเริ่มเดินทางกลับบ้านกันทั้งบนถนน และรถไฟฟ้า แดดยามเย็นเริ่มหายไปและถูกแทนที่ด้วยเมฆฝนอีกครั้ง พนักงานเสิร์ฟก็เริ่มนำอาหารเรียกน้ำย่อยมาให้ผม ซึ่งเปิดคอร์สมาด้วยอาหารคลาสสิก Yellowtail Carpaccio ที่ให้ความสดชื่นจาก Citrus หลากหลายประเภท และใบชิโสะ ซึ่งเมื่อคลุกเคล้ากันแล้ว รสเปรี้ยวๆหวานๆจากทั้งเกรปฟรุ๊ต เลม่อน และส้มยุสุ กับความหอมของน้ำมันมะกอก Extra Virgin ทานแล้วทำให้ประสาทรับรู้รสทั่วทั้งลิ้นตื่นขึ้นมาเต็มที่ นอกจากนั้นแล้ว เนื้อปลาฮามาจิยังถูกเพิ่มรสสัมผัสให้โดดเด่นด้วยไข่ปลาคาร์เวียร์ และไข่ปลาแซลมอนอีกต่างหาก และยังไม่ทันที่ผมจะได้หยุดพัก

คาปูชิโน่ซุปเห็ดและแบล็คทรัฟเฟิล

คอร์สสองก็ตามมาทันทีกับ คาปูชิโน่เห็ดและแบล็คทรัฟเฟิล ที่สามารถเอ็นจอยโดยการยกดื่มเหมือนกับเครื่องดื่มหรือ สามารถใช้ช้อนซุปคนให้ฟองนมแบล็คทรัฟเฟิล เคล้าเข้ากันกับซุปเห็ดที่คัดสรรเห็ดหลายประเภทมาใส่ แม้กระทั่งพนักงานเสิร์ฟยังไม่ยอมบอกผมเลยว่าใส่อะไรบ้าง สำหรับรสชาตินั้น ถือว่าขึ้นสวรรค์เลยทีเดียวครับ หากใครที่ชอบซุปเห็ดนั้นต้องบอกเลยว่า รสชาตินั้นเข้มข้นมาก ส่วนฟองนมก็ละมุน เป็นความสมดุลย์ของหยินหยาง ที่ลงตัวอย่างสมบูรณ์แบบ


Curious Third Course

พาสต้าแองเจิลแฮร์กุ้งลายเสือผัดกระเทียม ใบไทม์สด และเบคอนกรอบแพนเชตต้า

Tasting Menu อันดับถัดมาก่อนที่จะเริ่มอาหารจานหลักจริงๆ ก็ต้องพบกับจานพระรองของคืนนี้ก่อน ซึ่งก็คือ พาสตากุ้งลายเสือผัดกระเทียม ที่ใส่ความหอมของใบไทม์ลงไป หากบางคนอ่านจะสงสัยว่า เอ๊ะ ทำไมอาหารอิตาเลียนถึงได้มาอยู่ในนี้ได้นั้น ต้องบอกเลยว่า ความจริงแล้ว อาหารจานนี้นั้น ได้รับอิทธิพลจากอาหารญี่ปุ่นเสียมากกว่า จึงออกมาเป็นพาสตาจานนี้ที่มีกลิ่นอายของญี่ปุ่นอยู่เต็มที่เลย ทั้งการใช้ใบไทม์เพื่อเพิ่มความหอม การเลือกแพนเชตตา ซึ่งเลือกสรรค์ออกมาไม่เข้มข้นมาก ต่างกับเบคอนที่จะมีรสชาติหนักกว่า เพื่อทำการเปิดทางชูโรงให้กับกุ้งลายเสือเพียงผู้เดียว โดยรวมแล้ว ต้องบอกเลยว่าเป็นรสชาติที่มีความเป็นกลาง ให้ความรู้สึกถึงอาหารญี่ปุ่นที่ ไม่เน้นอาหารรสจัด แต่เน้นสมดุลย์ของรสชาติ เมื่อผมทานหมด จึงได้นึกออกว่า จานนี้นั้น ไม่ใช่แรงบันดาลใจจากอิตาลี แต่เป็นอาหารอิตาลีในประเทศญี่ปุ่นนั่นเอง


The Beef, The Mushroom and The Trio

เนื้อวัวแบล็กแองกัสเสิร์ฟพร้อมผักบดสามชนิด เห็ดแชมปิญองและซอสเนื้อ

และแล้วก็มาถึงอาหารจานหลักที่ใช้ เนื้อริบอายสายพันธ์ Charolais จากฝรั่งเศส ที่ถูกเลี้ยงด้วยธัญพืช เสิร์ฟเคียงคู่กับเห็ดแชมปิยองผัด และผักหลากหลายชนิด และเมื่อจานได้ถูกวางลงตรงหน้าผม สิ่งที่สะกดสายตาผมก็คือ แสงแวบวับของเม็ดเกลือที่สะท้อนกับไฟจากห้องอาหาร และความสวยงามเพียงสั้นๆก็หมดลงเมื่อผมราดซอสเกรวี่ที่มีส่วนผสมของชะเอมลงไป และความสวยงามของเนื้อกับซอสก็หมดลงในช่วงเวลาสั้นๆเช่นกัน เพราะความเพลิดเพลินจากการทานสลับไปมาระหว่างเนื้อ ผัก ซอสเกรวี่ เห็ดผัด และตัวชูโรงสำคัญของจานนี้นั่นก็คือ ซอสเคียงอีกสามชนิด เริ่มจากซอสหอมใหญ่ที่มีรสชาติเผ็ดร้อน, ซอสบีทรูทหวานอมเปรี้ยว และซอสหวานมันที่ทำมาจากแครอท ไม่ว่าจะทานกับอะไรเมนูนี้ก็ยังคงรสชาติที่โดดเด่นของเนื้อ สร้างความสนุกสนานจนผมรู้ตัวอีกทีก็เหลือเพียงจานเปล่าเท่านั้น


Dessert Of The Day

Raspberry Sorbet

ก่อนหน้าที่เราจะเข้าสู่เมนูสุดท้าย ทางร้านก็ยังไม่ยอมหยุดการบริการด้วยการนำเอา Sorbet ราสเบอร์รี่มาให้ทาน ล้างปากก่อนที่จะมุ่งหน้าไปยังขนมหวานของทางร้าน ซึ่ง เมนูนี้จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆทุกวันตามเชฟ และที่ยิ่งโดดเด่นไปกว่านั้นก็คือเมนูพิเศษเหล่านี้สามารถทานได้ก็ต่อเมื่อเราสั่ง Tasting Menu เท่านั้น ถือว่าเป็นประสพการณ์ที่หาไม่ได้จากการสั่งอาหารจานเดี่ยวๆ

โดยวันนี้ ของหวานที่มาอยู่ตรงหน้าผมนั้นก็คือ นิวยอร์คชีสเค้ก ที่ด้านบนของตัวเค้กเคลือบน้ำตาลไหม้ เหมือนกับครีมบรูเล่ นำมาทานกับผลไม้สดนานาชนิด และยังสามารถทานกับซอสมะม่วง และซอสราสเบอร์รี่ เพื่อตัดเลี่ยนได้อีกด้วย ถือว่าเป็นการปิดตัวคอร์สอาหารมื้อนี้ ได้อย่างลงตัว ไม่อิ่มเกินไปอีกด้วย

Petite four ในวันนี้เป็น Macaron

แต่แล้วการบริการยังไม่หยุดอยู่แค่นั้น ท้ายสุดแล้ว Fine dining ที่ดีนั้นต้องมีขนมหวานตบท้ายให้อีกหนึ่งคำ (Petite four) เปรียบเหมือนเป็นคำขอบคุณที่เรามาเอมอิ่มกับอาหารค่ำมื้อนี้ สิ่งที่วางอยู่ตรงหน้าผมคือ มาการองชิ้นน่ารักๆที่มีความพิเศษยิ่งไปอีกซึ่งตัวครีมฟิลลิ่งนั้น เป็นครีมมองต์บลังค์ หรือที่รู้จักกันง่ายๆว่า ครีมเกาลัด ซึ่งถือว่าเป็นขนมหวานประจำฤดูใบไม้ร่วงของญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้ ถือเป็นของขวัญจากลาที่ผมจะไม่ลืมมันเลยครับกับห้องอาหารฝรั่งเศสที่มีกลิ่นอายของญี่ปุ่นห้องนี้


สรุป

การได้มาทานอาหารอาหารฝรั่งเศสแบบ Fine dining ในราคาย่อมเยาว์แบบนี้นั้น ถือว่าคุ้มค่ามากครับ โดยเฉพาะคุณภาพของวัตถุดิบที่สดใหม่ การปรุงรสที่รับรู้ได้ถึงความมั่นใจของเชฟ ลูกเล่นที่สร้างความตื่นตาตื่นใจและความแปลกใหม่จากการผสมผสานความเป็นฝรั่งเศสและญี่ปุ่นเข้าด้วยกันโดยยังคงเหลืออัตลักษณ์ของเชฟยูยะให้เห็นอย่างชัดเจน ถือเป็นหนึ่งในเชฟที่ควรติดตามดูและผมเชื่อว่าจะต้องได้ยินชื่อเชฟคนนี้อีกแน่นอนครับ

ผมอยากแนะนำให้เพื่อนๆที่อยากได้ความแปลกใหม่ที่ไม่หวือหวา เป็น Fine dining ที่เรียกได้ว่าเรียบหรูนั่น ผมอยากจะให้ได้มาลองชิมกันครับ รับรองว่าไม่ผิดหวังแน่นอน

สำหรับ Tasting Menu นั้นจะอยู่ที่ 1,999 บาทเนทๆ และหากจองผ่านเว็บไซท์จะได้ไวน์ Pairing 1 แก้วด้วยครับ หากใครที่อยากเปิดประสพการณ์ใหม่ในราคาที่เป็นมิตรล่ะก็ La VIE ถือเป็นหนึ่งในตัวเลือกของผมเลยครับ

 

ข้อมูลเพิ่มเติม

ลิ้มรสอาหารฝรั่งเศสเเบบครีเอทีฟกับเมนูจานเด็ด 5 คอร์สจาก Chef Yuya Okuda เชฟชาวญี่ปุ่นที่หลงรักการทำอาหารฝรั่งเศส ที่ La VIE – Creative French Cuisine โรงเเรม VIE Hotel Bangkok, MGallery by Sofitel ซึ่งได้รับการแนะนำใน Michelin Guide Bangkok 2018

ในราคาสุดพิเศษเพียง 1,999 บาทสุทธิต่อท่าน รวมเครื่องดื่มฟรี 1 เเก้ว!✨✨✨

สำรองที่นั่ง
👉🏻 https://bit.ly/2N0gzND
📱090-197-4887